ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา PREPTITUDE ได้มีโอกาสคุยกับน้องพร้อมและน้องใบตอง ที่มาเล่าประสบการณ์การเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ให้เราฟังกันค่ะ
พร้อมกับใบตองเป็นน้องนักเรียนรุ่นเดียวกันที่มาเรียนกับทาง PREPTITUDE เพื่อสอบไปเรียนต่อรร.รัฐบาลในระดับ Secondary 3 โดยพร้อมได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (ASEAN Scholarships AY2017) และใบตองสอบผ่าน AEIS secondary 3 ไปในปีเดียวกันค่ะ
ซึ่งการพูดคุยกันคราวนี้ เป็นการเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากประสบการณ์ตรงของน้องๆที่เรียนอยู่กันตอนนี้นะคะ
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับน้องๆ 2 คนก่อนนะคะ
ใบตอง
สอบผ่าน AEIS ระดับ Secondary 3 ได้รับ offer ให้เรียนที่ Northbrooks Secondary School (Academic Year 2017)
ปัจจุบันเรียน JC ปี 1 ที่ Anglo-Chinese Junior College
พร้อม
นักเรียนทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (ASEAN Scholarships) เข้าเรียนที่ Commonwealth Secondary School (Academic Year 2017)
ปัจจุบันเรียน JC ปี 1 ที่ Tampines Meridian Junior College
ไปเรียนที่สิงคโปร์เข้าปีที่ 3 แล้วเป็นยังไงกันมั่ง
พร้อม: เรียนหนักเหมือนกันครับ (โดยเฉพาะตอนนี้ 55) แต่ก็คิดว่าคุ้มและคิดถูกมากที่มาเรียนที่นี่ เพราะถึงจะเรียนหนักแต่จริงๆแล้ว วิชาที่เรียนมีจำนวนน้อยกว่า ทำให้รู้สึกโฟกัสในการเรียนและวิชาที่เลือกได้มากกว่า
ใบตอง : อีกอย่างนึง โรงเรียนที่สิงคโปร์จะมีครูแนะแนว ซึ่งนักเรียนสามารถเข้าไปนัดพบได้เลย เพื่อปรึกษาเรื่องการเรียนหรือการวางแผนวิชาที่จะเรียน คิดว่าครูที่สิงคโปร์ดีมากเลย
ที่บอกว่าครูที่โรงเรียนดี นี่คือยังไงเหรอ
ใบตอง: หลักๆ เป็นเรื่องของความใส่ใจและทุ่มเทในการสอนค่ะ อย่างครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียนตอน Sec 3-4 เวลาตรวจงานจะละเอียดมาก มีเขียนคอมเม้นต์กลับมาให้เยอะมาก รู้สึกว่าครูตั้งใจตรวจ
พร้อม : เค้าจะมีนัดมาติวเพิ่มให้ได้ด้วย ถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆ ปรกติก็อาจจะนัดมาเป็นกลุ่มให้เวลาที่ครูสะดวก หรือจริงๆ เราก็เข้าไปคุยกับครูได้ครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ครูทำให้ ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายให้โรงเรียนเพิ่ม
แปลว่าเราก็ไม่ต้องไปเรียนพิเศษแล้วรึเปล่า แต่ได้ยินว่าเด็กที่สิงคโปร์ก็เรียนพิเศษเยอะนะ
พร้อม: ก็มีคนเรียนพิเศษจริงๆ แต่สาเหตุไม่เหมือนกันกับเวลาเราต้องไปเรียนพิเศษตอนเรียนที่เมืองไทย หลักๆ ส่วนใหญ่ไปเรียนเพราะ 2 กรณี คือ 1.กลุ่มเด็กเก่งที่ต้องการทำคะแนนดีๆ ก็จะอยากไปเรียนเนื้อหาล่วงหน้าเพราะจะได้มั่นใจมากขึ้นเวลาต้องสอบ หรือ 2.ต้องการหาที่ฝึกเพิ่มนอกจากในโรงเรียน เพราะตามเนื้อหาเองไม่ทัน
ใบตอง : คือถ้าเป็นที่ไทย บางทีเราต้องไปเรียนเพราะเราไม่แน่ใจว่าถ้าเราจะสอบแล้วมันจะตรงกับที่เรียนมั้ย แต่ที่สิงคโปร์เนี่ยเรียนมายังไงก็จะสอบตามเนื้อหานั้น เพียงแต่ระดับความยากของข้อสอบแต่ละโรงเรียนอาจจะต่างกัน แต่เนื้อหาเหมือนกัน ก็พอที่จะเอาไปใช้สอบได้ถ้าตั้งใจในห้อง
พร้อม: ใช่ๆ สุดท้ายแล้วถ้าขยันและตั้งใจเรียน ก็จะสามารถสอบ O level ได้เหมือนๆกัน เพราะโรงเรียนสอนหมดแล้ว เหลือแค่ฝึกทำโจทย์เยอะๆ
โรงเรียนช่วยเรื่องเตรียมความพร้อมสอบ O level ให้ด้วยมั้ย หรือต้องไปติวเองข้างนอก
พร้อม : ที่โรงเรียนจะมีให้ทำ 10-year past papers ในแต่ละวิชา ก็จะเป็นการฝึกอยู่แล้วและครูก็มีอธิบายให้ด้วย
ใบตอง: ปกติจะให้ทำหลังสอนเนื้อหาเสร็จแล้ว ก็จะประมาณครึ่งปีหลังก่อนสอบ O level จริงๆ ไม่ต้องไปเรียนข้างนอกก็ได้ แต่อย่างบางคนไปติวเพิ่มเพราะอยากได้วิธีตอบเพิ่มเติม หรือมีจุดที่อยากหาคนช่วยเพิ่ม ก็ไปติวบางวิชา
พอสอบ O level แล้วยังไงต่อ
ใบตอง : O level มันจะสอบเสร็จช่วง November ได้ แล้วผลออกตอน January ค่ะ พอช่วงผลใกล้ออก เค้าจะมีหนังสือมาให้เลยเล่มนึง เป็นข้อมูลของโรงเรียนที่จะใช้ผล O level ยื่นเรียนต่อ ก็จะมีข้อมูลของ Junior College กับ Polytechnic ประมาณนี้ค่ะ มีบอกคะแนนที่ยื่นเข้าในปีก่อนๆ วิชาที่เปิดสอน กิจกรรมชมรมที่มี ประมาณนี้ค่ะ พอคะแนนออก เราก็ไปยื่นเลือกออนไลน์ เลือกได้หลายอันดับเหมือนกัน
พร้อม : แต่ถ้าเป็นของนักเรียนทุน จะมี booklet อีกเล่มนึงมาให้ด้วยครับ สถานที่เรียนจะมีให้เลือกน้อยกว่า คือเค้าให้เราเลือกได้ตามที่กำหนดมา อ้อ! แล้วก็ช่วงก่อนต้องเลือกโรงเรียน แต่ละที่ก็จะมีจัด Open House เพื่อให้เราเข้าไปหาข้อมูลและดูบรรยากาศของโรงเรียนได้ด้วยครับ เราก็เลือกไปดูที่ๆ เราสนใจได้
ตอนนี้ มาเรียน Junior College (JC)แล้วเลือกเรียนอะไรกันมั่ง
พร้อม: ผมเลือกวิชากลุ่ม H2 เป็น Math , Chemistry และ Economics, และ H1 History
ใบตอง: ตองเลือก H2 ทั้ง 4 ตัว มี Math, Further Math, Physics และ Economics (*ใน JC จะแบ่งการเรียนเป็น H1 H2 H3 ตามความเข้มเข้นของเนื้อหา ส่วนใหญ่นักเรียนจะเลือก H2 และ H1 ตามสาขาที่ถนัด มีบางคนที่ขอลงเรียนระดับ H3 แต่อาจจะต้องพิจารณาความพร้อมของตัวเองก่อน)
เรียน JC ต่างกับตอนเรียน Secondary มากมั้ย
พร้อม: เวลาเรียนจะแบ่งเป็นสองแบบ คือเป็น Tutorial กับ Lecture ครับ ถ้า tutorial นี่ก็จะห้องนึงประมาณ 20 คน ส่วนของ lecture จะเรียนห้องรวมกัน 300 คนเลย แต่ถ้าตอน secondary ก็จะเป็นห้องเรียนตามปกติ
ใบตอง: แล้วก็ JC จะมีวิชาบังคับเพิ่มคือการทำ project work ตอนปี 1 เป็นงานกลุ่มกับเพื่อน ฝึกการทำงานกลุ่ม และมีให้เลือกเรียน General Paper หรือ Knowledge and Inquiry เป็นการฝึกทำ research และเอาข้อมูลมา discuss กัน เหมือนฝึกเรียนภาษาอังกฤษในระดับเขียนงานที่สูงขึ้น
Tutorial กับ Lecture ต่างกันยังไง
พร้อม: lecture คือครูจะมาสอนรวมแบบเรียนทฤษฎี แต่เราก็ควรจะอ่านมาก่อนด้วย ส่วน tutorial คือทำแบบฝึกหัด ครูฝึกช่วยทำโจทย์ ซึ่งถ้าเรามีปัญหาในการเรียน เราก็สามารถเข้าไปปรึกษาครูที่สอนใน tutorial ของเราได้ด้วย
โห เหมือนเรียนมหาวิทยาลัยเลย!
คุยกันมานานแล้ว อยากรู้ว่ามองอนาคตตัวเองจากนี้ไว้หลังจาก JC ยังไงมั่งเหรอ
พร้อม: ผมสนใจด้าน Data Analytics ครับ การเข้า CCA Makers Club หรือการทำ project work ก็เป็นตัวช่วยสร้าง profile ด้วยวิธีนึงนอกเหนือจากกลุ่มวิชาที่เลือกเรียนอยู่ตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะเรียนต่อที่สิงคโปร์นะ
ใบตอง: ตอนนี้สนใจด้าน Finance ค่ะ แต่กำลังมองๆอยู่ว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี ตอนนี้เลยมีลง CCA Economics Society ไว้ด้วยค่ะ แล้วก็มีลง cross-country ด้วยอีกตัวค่ะ (ฟิตมาก!)
ฟังแล้วรู้สึกว่า หลักสูตรที่นี่ช่วยเราสร้าง portfolio ดีๆ สำหรับยื่นเรียนต่อได้แล้วเลยเนอะ
คำถามคาใจจากหลายๆคน สรุปไปเรียนที่สิงคโปร์นี่การแข่งขันสูงมั้ย
พร้อม: ก็สูงนะ แต่เอาจริงๆ ที่ไทยเองก็สูงเหมือนกัน หลักๆเลยอยู่ที่ตัวเรามากกว่า เราก็ทำของเราให้ดีที่สุด ถ้าเราอยากเข้าเรียนต่อที่ดีๆ การแข่งขันก็สูงเป็นธรรมดา เพราะใครๆ ก็อยากเข้า
ใบตอง: ใช่ๆ แต่เรื่องเพื่อนมาแข่งอะไรแบบนี้ ของตองไม่เจอนะ ส่วนใหญ่เพื่อนก็ดีค่ะ
สุดท้ายนี้ มีคำแนะนำอะไรฝากถึงน้องๆ ที่กำลังสนใจไปเรียนที่สิงคโปร์มั้ย
พร้อม: จริงๆ มองว่า ขอให้มีความรับผิดชอบและมีวินัยในตัวเองก็จะช่วยได้มากในการเรียนที่นี่ รวมถึงก่อนมาก็เตรียมตัวให้ดี และถ้ามีเป้าหมายในใจว่าเราชอบเรียนอะไรประมาณไหน ก็จะช่วยได้มากตอนเลือกวิชา และตอนเลือกกิจกรรม CCA
ใบตอง: หลักๆ คิดว่าที่นี่อาจจะเรียนหนัก แต่ไม่ได้หนักเว่อมาก เหมือนที่พร้อมบอกคือให้มีความรับผิดชอบและมีวินัยในตัวเอง และที่สำคัญคือครูที่นี่พร้อม support เต็มที่ เราแค่ต้องกล้าเข้าหาซึ่งเค้ายินดีนะ
พร้อม: เสริมนิดนึง จริงๆ ถ้าใครคิดว่ามีแผนอยากไปเรียนต่อต่างประเทศอยู่แล้ว สิงคโปร์ก็เป็นประเทศที่ดีในการเริ่มต้นฝึกและเตรียมตัวเลยเลย เพราะใกล้และการเรียนการสอนก็เป็นขั้นตอนดีครับ
ขอบคุณทั้งสองคนมากๆ เลย ที่มาช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟัง จริงๆ เราคุยกันมากกว่านี้ แต่มันจะยาวมากๆ เอาเป็นว่าถ้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อที่สิงคโปร์เพิ่มเติมตรงไหน หรือจะเตรียมความพร้อมยังไงดี สามารถสอบถามกับทาง PREPTITUDE ได้นะคะ โอกาสหน้า เราจะนำประสบการณ์ของน้องบุ๊ค นักเรียนเก่าจาก PREPTITUDE อีกคนของเรา ที่ใช้ DSA ยื่นเข้าไปเรียนต่อ Junior College แทนการรอยื่นผล O level มาเล่าให้ฟังกันค่ะ
interviewed by Kru Jane